Thursday, March 08, 2007

คุณหมอตัวสำรอง

เมื่อสองสามวันก่อนข้าพเจ้ามีอันต้องเดินทางเข้าเมืองเพื่อไปพบคุณหมอเจ้าของไข้
ที่ได้สู้อุตส่าห์เอาไข้ของตัวไปฝากไว้โดยหวังใจว่าจะช่วยแบ่งเบาออกไปได้บ้าง กาลกลับกลายเป็นว่าคุณหมอผู้รับฝากมีอันต้องจรลีไปเข้าร่วมการสัมนายังต่างจังหวัด
ทำให้ไม่สามารถอยู่จัดการกับบรรดาไข้ที่ได้รับฝากไว้จากคนไข้ทั้งหลายได้ เมื่อคุณหมอไม่อยู่ทางโรงพยาบาลก็จัดการประสานงานเพื่อให้คุณหมอท่านอื่น
มาทำหน้าที่นี้แทน
ข้าพเจ้ารวมทั้งคนไข้อื่นๆรอแล้วรอเล่าจนเวลาล่วงผ่านไปชั่วโมงเศษคุณหมอตัวสำรอง
จึงเดินทางมาถึง คุณหมอท่านนี้เมื่อมาถึงก็ได้เริ่มทำงานอย่างแข็งขัน สังเกตได้จากการตรวจที่รวดเร็วมากนับเวลาเฉลี่ยได้ไม่เกิน 10 นาทีต่อหนึ่งคน ต่อเมื่อถึงคิวของข้าพเจ้าจึงได้รู้ว่าเหตุใดคุณหมอจึงสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็ว คุณหมอเริ่มจากการถามอาการในขณะง่วนอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อเตรียมจ่ายยา แลเมื่อฟิล์มรายงานผลการสแกนอวัยวะชิ้นหนึงที่ข้าพเจ้าเสียเงินลงทุนไป 20000 บาทเดินทางมาถึง คุณหมอใช้เวลาเพียง 5 วินาทีในการเปิดดูฟิล์ม แล้วก็หันไปสั่งจ่ายยาตามปกติ สรุปว่าข้าพเจ้าได้รับยาไปทานเพิ่มอีกสองเดือนโดยไม่มีการบอกถึงอาการ, วิธีการดูแลตนเอง, ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากยา, และอื่นๆที่ข้าพเจ้าในฐานะคนไข้สมควรที่จะได้รับรู้ รวมถึงผลจากการลงทุนไป 20000 บาทของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามิได้อยากได้ยินผลร้ายเช่น สมองคุณมีเนื้องอก หรือ คุณปกติเพียงแต่เครียดไปหน่อย หรืออื่นๆ เพียงเพื่อจะได้รู้สึก
คุ้มค่ากับเงินลงทุนเสมือนการลงทุนกับกองทุนรวมสักแห่ง หากแต่เป็นเพราะท่าทีที่ไม่ใส่ใจกับคนไข้นั่นเองที่ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกถึงความ
ไม่สามารถเชื่อมั่นในคุณหมอตัวสำรองท่านนี้ได้
...
โดยจริยธรรมของหมอรวมถึงหลักจิตวิทยาในการดูแลผู้ป่วยแล้ว ถึงแม้ข้าพเจ้าจะไม่ได้ร่ำเรียนมาทางนี้ แต่ก็พอจะเดาได้ว่า น่าจะต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ป่วย ความเชื่อมั่นในที่นี้ไม่จำเป็นต้องจำกัดอยู่แต่ความเชื่อมั่นว่า "จะหาย" หากแต่รวมถึง "จงเชื่อหมอ" ด้วยเหตุนี้ก่อนที่คุณหมอจะไล่ข้าพเจ้าออกไปทางอ้อมเพราะมีคนไข้อื่นรออยู่ เพราะคุณหมอมาสาย เพราะคุณพยาบาลมายืนกดดันอยู่ คำถามมากมายจึงหลั่งไหลจากข้าพเจ้าแลภรรยาไปสู่คุณหมอตัวสำรอง คำถามที่ข้าพเจ้าเป็นคำถามพื้นฐานเช่น ข้าพเจ้าเป็นอะไร, ทำไมจึงเป็น, มีวิธีดูแลตัวเองอย่างไร, ยาที่ให้ทานมีผลข้างเคียงหรือไม่, และอื่นๆ ที่ข้าพเจ้าแลภรรยาพอจะนึกออกก่อนจะหมดโอกาสถามไถ่ หากแต่คำตอบที่ได้รับกลับเป็น "คุณอยากได้คำตอบแบบไหนเหรอ", "ยาทุกชนิดมีผลข้างเคียง", และอื่นๆในแนวทางเดียวกัน เมื่อคุณหมอตัวสำรองไม่สามารถทำให้ข้าพเจ้าเชื่อมั่นได้ ความไม่ประทับใจจึงตามมาอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง ข้าพเจ้าเดินหัวเราะออกไปจากห้องตรวจด้วยอาการที่บอกคุณหมอทางอ้อมว่า "ตลกว่ะ" ตลกที่คุณหมอเร่งทำเวลากับคนไข้เสมือนทำยอดขายตอนสิ้นปี ตลกที่คำตอบอันกำกวมไม่ได้ทำให้ข้าพเจ้าเชื่อมั่นได้ และอื่นๆ ในความคิดเห็นของข้าพเจ้า หน้าที่หลักของคุณหมอคือ การวินิจฉัยโรค แล้วจึงรักษาด้วยเทคโนโลยีหรือยารักษาโรคที่เหมาะสม แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการไม่ทำให้คนไข้รู้สึกสะดุดกับการตรวจวินิจฉัยของตน มิเช่นนั้นแล้วการรักษาก็ถือว่าล้มเหลว เมื่อคนไข้ไม่เชื่อ การดื้อแพ่งก็ตามมา
...
หากจะกล่าวอ้างว่า คุณหมอก็เป็นคนที่มีบ้างกับกิริยาอาการไม่เหมาะสมจากการเหน็ดเหนื่อยเกินไป จากความเครียดอันเกิดจากปัญหาที่บ้าน หรืออื่นๆ การกล่าวอ้างดังกล่าวฟังไม่ขึ้นด้วยประการทั้งปวง เพราะถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าคิดว่าคุณหมอก็ควรจะผันตัวเองไปทำอาชีพอื่นเสีย อาชีพที่ไม่กระทบกับคนอื่นๆ โดยเฉพาะเรื่องของความเป็นความตาย แต่หากยังยืนยันที่จะดำรงอาชีพของตนไว้ต่อไปก็อยากฝากไปถึงคุณหมอๆ
ทั้งหลายว่า สิ่งที่ชาวบ้านตาำดำๆเสียให้ท่าน 200-400 บาทนั้นมันมิใช่แค่เพียงให้ท่านมาสอบถามอาการจากเขา
หากมันคือความสามารถในการวินิจฉัยไม่ว่าเบื้องต้นหรือเบื้องลึก
ความรอบคอบในการใช้คำพูดและอื่นๆอีกมากที่ข้าพเจ้าเชื่อว่าคุณหมอทั้งหลายคงจะ
ได้ร่ำเรียนมาบ้างไม่มากก็น้อย ในฐานะคนไข้คนหนึ่งข้าพเจ้า
จึงอยากฝากสิ่งที่ไม่ใช่ไข้ไปยังคุณหมอทั้งตัวจริงแลตัวสำรองว่า
วิชาความรู้นั้นสำคัญ หากแต่ไร้ซึ่งประสิทธิภาพในการสื่อสารแลจะหาประโยชน์อันใดได้?

Labels:

0 Comments:

Post a Comment

<< Home