Friday, December 04, 2009


How many things are we missing?

He played six Bach pieces for about 60 minutes. During that time approximately 2,000 people went through the station, most of them on their way to work. After:

3 minutes

A middle aged man noticed there was a musician playing. He slowed his pace and stopped for a few seconds and then hurried to meet his schedule.
4 minutes
The violinist received his first dollar: a woman threw the money in the till and without stopping, continued to walk.
6 minutes
A young man leaned against the wall to listen to him, then looked at his watch and started to walk again.
10 minutes
A three year old boy stopped but his mother tugged him along hurriedly, as the kid stopped to look at the violinist. Finally the mother pushed hard and the child continued to walk, turning his head all the time. This action was repeated by several other children. Every parent, without exception, forced them to move on.
45 minutes
The musician played. Only 6 people stopped and stayed for a while. About 20 gave him money but continued to walk their normal pace. He collected $32.
1 hour:
He finished playing and silence took over. No one noticed. No one applauded, nor was there any recognition.

This is a real story.. The Washington Post, as part of a social experiment about perception, taste and people's priorities, arranged the entire scenario. Playing incognito, no one knew the violinist was Joshua Bell , one of the best musicians in the world. He played one of the most intricate pieces ever written, with a violin worth $3.5 million dollars. Two days prior to this, Joshua Bell sold out a theater in Boston where the tickets averaged $100 per seat.
The questions raised:
In a common place environment at an inappropriate hour, do we perceive beauty; do we stop to appreciate it;
do we recognize talent in such an unexpected context?
One possible conclusion reached from this experiment could be:

If we do not have a moment to stop and listen to one of the best musicians in the world, playing some of the finest music ever written, with one of the most beautiful instruments ....... How many other things are we missing?

Labels:

Tuesday, November 24, 2009

นักดนตรีคือผู้สร้างและผู้เสพ "สุนทรียอารมณ์"

มันเป็นสิ่งจำเป็นเป็นอย่างยิ่งที่นักดนตรีต้องใส่ความรู้สึกสุนทรีย์เข้าไปในตัวโน๊ตทุกๆตัวที่กำลังบรรเลง เฉกเช่นเดียวกับที่จิตรกรทำกับเส้นสาย หรือแม้แต่ หยดสี ของเขา เพราะไม่อย่างนั้น มันเป็นไปไม่ได้เลยทีเดียวที่บทเพลงทั้งบท หรือ ภาพเขียนทั้งภาพ จะให้ความรู้สึกทางสุนทรีศาตร์แก่ผู้รับ

Sunday, November 22, 2009

โอกาสย่อมมาถึงผู้อดทนรอคอยเสมอ vs. Is it too late?

ขอบคุณ ทุกท่าน ขอบคุณน้องๆ ที่ให้ความต้อนรับและความเคารพเป็นอย่างดี

คำถามจากผู้คนรอบกายยิงกระหน่ำเมื่อรู้ข่าว ความแปลกใจยังขยายวงโคจรไปถึงเพื่อนใหม่ ถึงเหตุผลหลักของการกระทำในครั้งนี้ หนึ่งในคำถามสุดแสบ "ไม่สายไปหน่อยเหรอ" ถ้าคนถามไม่ใช่คนสนิทกัน นัยว่าหมัดสวนคงถูกปล่อยทันควันจนกรรมการไม่ต้องนับให้เปลืองน้ำลาย แต่พอมาคิดอีกที มันก็อาจเป็นเรื่องแปลกสำหรับคน(ไทย)หลายๆคน ที่มองว่า การจะเปลี่ยนแปลงบางอย่างในวัยหนึ่ง เป็นเรื่องไม่สมควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง

อาจเป็นเหมือน ดอน กิโฆเต้ ที่ลุกขึ้นมาวิ่งไล่ตามความฝัน ในวัยที่ใครๆก็มองว่าไม่สมควรกระทำ สิ่งที่ทำอาจเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ มองไม่เห็นอนาคต ดูเหมือนเป็นเงาเลือนรางของภาพบนกำแพงที่ถูกหลอกซ้ำหลอกซ้อนด้วยรูปปั้นหน้ากองไฟ (อ้างอิง อาจารย์...)แต่ "Man shall live on hope" (อ้างอิง อาจารย์...)ก็ได้มอบดาบศักดิ์สิทธิ์พร้อมหมวกเกราะอัมบริโน่เพื่อฟาดฟันอุปสรรคใดๆที่อาจเยี่ยมกราย

บางครั้งเราอยู่ในฐานะที่ไม่สามารถอธิบายได้ ไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นต้องอธิบาย เพราะคนที่ไม่มี ก็ย่อมไม่อาจเข้าใจ ปูเสฉวนเปลี่ยนกระดอง ปลาแซลมอนกระโดดทวนแรงโน้มถ่วง เราทำได้ดีที่สุดเพียงแค่ รับรู้

Thursday, December 20, 2007

...

ผมนั่งชื่นชมความเงียบอยู่เพียงลำพัง
คงจะดีหากโลกนี้ไม่มีการพูดคุย

บ่อยครั้งที่ผมพบว่าภาษามีขีดจำกัด
เราถูกสอนให้รู้ว่าถ้ารู้สึกอย่างหนึ่งต้องใช้คำหนึ่ง
แต่เรากลับพบว่าการใช้คำหนึ่งไม่อาจแทนความรู้สึกหนึ่งได้เสมอไป
ความเงียบอาจเป็นคำตอบที่ดีที่สุด

ปลาสองตัวเวียนว่าย
แมลงปอบินเหนือน้ำ
กระโดดผลุง ก่อนจมหาย

ความสงบเงียบมีอยู่ทั่วไป ถ้ารู้จักมองหา
หลายคนมอง แต่ไม่เห็น
พวกเขาร่ำร้องหาความอึกทึก เซ็งแซ่
เพื่อเติมเต็มช่องว่างที่ขาดหาย หลายคนอาศัยคนอื่น
พูดคุย หยอกล้อ หรือกระทั่งพึ่งเสียงเพลงกรอกหู
ลองอยู่กับตัวเอง อย่างปราศจากสุ่มเสียง
แล้วจะพบว่า ตัวตนที่แท้เป็นเช่นไร

"การทำงานบ้าน คือการปฏิบัติธรรม"

........
เดี๋ยวนี้คนเราเดินกันไม่เป็นแล้ว
จะเดินไปแค่สี่ห้าร้อยเมตรก็บ่นกระปอดกระแปด
ใกล้หน่อยก็นั่งมอเตอร์ไซต์รับจ้าง
ไกลหน่อยก็นั่งรถแท็กซี่ ใครมีรถยนต์ก็ขับไปเอง
คนเดินถนนก็ถูกค่อนขอดว่า ยากจนบ้าง สติไม่สมประกอบบ้าง
สมัยนี้ใครจะมาบอกว่าชอบเดินคงจะฟังแปลกพิลึก
บางทีเดินข้ามถนนยังต้องค้อมหัวคารวะคนขับรถที่กรุณาหยุดให้อย่างเสียไม่ได้
กลายเป็นว่า วรรณะคนเดิน มันต่ำกว่า วรรณะคนขับ
ถ้าเรารวมพลังกันเดินเยอะๆ อดทนหน่อยช่วงแรกๆที่ต้องทนเหม็นควัน
ถูกรถเฉี่ยว แล้วก็ไปเรียกร้องเอากับรัฐบาลให้สร้างถนนสำหรับคนเดินให้เท่ากับถนนสำหรับรถวิ่งแล้ว
บ้านเมืองคงจะน่าอยู่ขึ้นเยอะ

...........
บ่อยครั้งที่บางคนมักจะลืมไปว่าการพูดเรื่องเดิมๆซ้ำๆนั้นน่าเบื่อแค่ไหน

Thursday, November 29, 2007

รับบริจาคข้าวสาร

"รับบริจาคข้าวสารเท่านั้นค่ะ"
"เงินสดไม่รับเหรอครับ"
"ไม่รับค่ะ รับแต่ข้าวสาร"
"คุณเอาเงินสดไปซื้อก็ได้นี่นา ได้ผลเหมือนกัน"
... (ยิ้มแหยๆ)
... (เดินเซ็งออกไปด้วยความหัวเสียเพราะไม่ได้ทำบุญสมความตั้งใจ)
...............................
มีคนมากมายอยากทำความดี เกือบทุกคนกระตือรือร้นที่จะทำแต่กลับมีข้ออ้างให้กับตัวเองเพื่อหลีกเลี่ยง ตัวอย่างที่ยกมาเป็นเพียงการผูกเรื่องจากสิ่งที่ได้พบเห็นมาจริงๆ เขาคนนั้นอาจลืมคิดไปว่าการรับบริจาคแต่ข้าวสารเท่านั้น และไม่รับ เงินสด, พันธบัตรรัฐบาล, เช็ค, ตราสารชนิดต่างๆ, ทอง, ฯลฯ นั้นเพราะเหตุผลดังนี้
1. รวดเร็ว เอาข้าวสารมา เอาขึ้นรถ ไปส่งให้ผู้ยากไร้ หุงข้าวกิน จบขั้นตอน
2. ตัดตอนกระบวนการอันอาจทำให้เกิดเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน เช่น การประมูล (ในกรณีองค์กรจำเป็นอย่างยิ่ง), การแบ่งเปอร์เซ็น, การผูกขาด, หรือการหาผลประโยชน์ใส่ตนในรูปแบบอื่นๆ
คนที่คิดด้วยลอจิคดังตัวอย่างบทสนทนาให้เหตุผลว่า "มีค่าเท่ากัน" ซึ่งดูจะเป็นการพูดให้น้ำหนักกับเหตุผลของการไม่สามารถทำได้มากจนเกินไปหน่อย เพราะมีอีกหลายคนที่
- หิ้วมาจากบ้าน
- ซื้อจากร้านสะดวกซื้อใกล้เคียง
- ใส่รถมาจากบ้าน
การทำความดีจึงไม่อาจมีข้ออ้างใดๆที่จะใช้เพื่อให้เหตุผลกับตัวเองเพื่อให้เกิดความชอบธรรมได้ เพราะถ้ามีจิตใจที่อยากทำจริงๆ ข้ออ้างใดๆก็ไม่สามารถนำมาใช้หลบเลี่ยงได้ อาจมียกเว้นบ้าง เช่น ใส่เฝือกขาอยู่ จะหิ้วมาจากบ้านก็ไม่ได้ รถยนต์ส่วนตัวก็ไม่มี เดินไปซื้อปากซอยก็ไม่ได้ จะวานใครก็เกรงใจ หรือ ลูกไม่สบายเลยต้องลางานเฝ้าลูกอยู่บ้าน ที่คิดๆไว้ว่าจะทำเลยไม่ได้ทำเพราะกว่าจะมาเค้าก็ปิดรับไปแล้ว เป็นต้น ใจความสำคัญก็คือ คนเรามักจะเอาความคิดตัวเองเป็นศูนย์กลางจนลืมนึกไปถึงเหตุผลอื่นๆที่คนอื่นเขาก็มีกัน จนใจที่สุดก็พาลคิดไปว่าเพราะคนอื่นนั่นแหละ ฉันจึงไม่ได้ทำ...
Who am I?

Have you ever seen a dog that lost all its dog-being? Dog-being is my so-called word even though I couldn't find it in my dictionary... Dogs characteristics are
- They have fur except some species
- They know how to bark
- They bark or wag their tail towards people
- They know how to express emotion without speaking
- They spend 12 hours in sleeping
But I don't understand people who take their dogs to dogs school just to suppress their nature. Having understand how to sit, bite, stand-up, walk, get the ball is fine but most of those graduated dogs I have seen so far they are just...not dogs anymore. How? They don't care anything else but their owners. If you walk towards this kind of dog and say something you will get nothing back. Seems like they are deaf or being mad. Dogs wag their tail or bark to stranger, folks. You wear them with nice clothes, cradle them the same way you do with babies (having their two back-legs between your hib...what a dog), and you kiss them.. OK, OK, it's your dogs. I am just doing my research on the "Possibility that people growing children the same way as they do with dogs" My paper has given a proven result that children and dogs have been raised that way will lose their nature. They will simply not know who they are. And sadly enough they are just follower.. Not the leader. By the way, my paper is also shown that dogs' owners in the samplings have the possibility to be Power hungers...

"LOVE ME LOVE MY DOG" = "LOVE ME AS I AM"

Friday, August 17, 2007

Time is on my side. Yes, it is.

ผมได้วางแผนเอาไว้ก่อนที่จะกลับเมืองไทยว่าเมื่อกลับมาก็จะยังคงเขียนเว็บล็อกไปเรื่อยๆ มั่นใจว่าจะมีเรื่องให้เขียนเรื่อยๆ พร้อมกับได้มีโอกาสถ่ายรูปเรื่อยๆเช่นกัน การณ์กลับไม่เป็นดังคาด ทันทีที่กลับมาผมก็พลันตื่นตกใจกับสภาพรถติดอันสุดจะทน (ไม่ได้ดัดจริต แต่รู้สึกเช่นนั้นจริงๆ) ระยะเวลาการเดินทางโดยรถยนต์จากบ้านไปยังสถานีรถไฟฟ้าโดยเฉลี่ย 15 กิโลเมตร คือ 1 ชั่วโมง! เป็น 1 ชั่วโมงที่ผมสุดแสนจะเสียดายทั้งน้ำมัน ทั้งเวลา ขากลับจากที่ทำงานยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ จาก 1 ชั่วโมงเป็น 1 ชั่วโมงครึ่ง วันเวลาผ่านไป 1 ปี กลับไปสำรวจเว็บล็อกอีกครั้งพบว่าตั้งแต่กลับมาเขียนไปแค่ 4 เรื่อง แถมเป็นสี่เรื่องที่ไม่ได้ชวนอ่านเอาซะเลย
ทำไมน่ะหรือ? ผมนั่งใคร่ครวญอยู่พักหนึ่งในวันหยุดยาว ว่าเพราะเหตุใดเราจึงไม่มีเวลาเหมือนเมื่อตอนอยู่ต่างประเทศ เป็นไปได้ว่า สภาพการจราจร ที่ติดขัด การคมนาคมสาธารณะไม่ทั่วถึงคลอบคลุมทั่วกรุงเทพฯ รวมไปถึงวัฒนธรรมการทำงานบ้านเราที่ไม่ใช่ nine to five. พูดถึงเรื่อง nine to five นี้ถ้าคุณทำงานโดยยึดคติอย่างว่า อาจถูกมองด้วยสายตาหมั่นไส้ระคนริษยา หมั่นไส้ในความไม่ยี่หระต่อสายตาเพื่อนร่วมงาน หรือ เจ้านาย ริษยาในความอาจหาญที่กลับบ้านตรงเวลา แต่สิ่งที่คุณจะได้รับ ซึ่งผมสนับสนุนให้ทุกคนทำคือ เวลา สิ่งมีค่าอันยิ่งใหญ่ เวลาที่คุณอาจใช้ไปในการนั่งคุยกับคนที่คุณรัก เวลาที่อาจหมดไปกับการอ่านหนังสือดีๆสักเล่ม เวลาที่จะดูแลทำความสะอาดบ้าน เวลาที่จะได้ทานข้าวตรงเวลา เวลาที่จะได้ออกกำลังกาย ฯลฯ แต่ในบางครั้งก็ต้องยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวใช่ว่าอยู่ดีๆจะทำก็ทำได้โดยไม่ดูตาม้าตาเรือ เนื่องเพราะผมโดนมาแล้ว กลับบ้านหกโมงถูกเจ้านายส่ง message มาต่อว่าที่กลับบ้าน too early.
ผมชอบบรรยากาศการทำงานที่ออสเตรเลีย พูดอย่างนี้อาจเป็นการเหมารวมทั้งประเทศ เอาเป็นว่าที่รัฐ Brisbane ซึ่งเป็นเมืองพักตากอากาศอันเงียบสงบแห่งหนึ่งที่หลายคนบอกว่า ไม่วุ่นวายเท่า Sydney แต่เพื่อนผมก็กระซิบบอกว่า Sydney ก็ออกจะเงียบสงบเมื่อเทียบกับกรุงเทพฯ บ้านเรา อย่างไรก็แล้วแต่ บรรยากาศการทำงานที่ผมได้พบเจอมาคือ คนออสซี่ที่นั่น ตื่นแต่เช้าตรู่ มาทำงานไม่เกิน 8 โมงเช้า และกลับบ้าน 5 โมงเย็น sharp น่าสนใจมั๊ยล่ะครับ มีอยู่วันหนึ่งผมไม่รู้จะรีบกลับไปยังอพาร์ทเมนท์อันเงียบเหงาทำไมในเมื่ออยู่ที่ออฟฟิศก็เงียบเหมือนกัน และพอดีช่วงนั้นอินเทอร์เน็ตเครดิตหมดพอดี เลยนั่งเล่นอินเทอร์เน็ตคุยกับแฟนเรื่อยๆ พอหกโมงครึ่งว่าจะกลับบ้านถึงได้รู้ว่าลืมเอาคีย์การ์ดเข้าออกประตูมา โทรศัพท์มือถือก็ไม่มี โทรศัพท์ออฟฟิศก็ไม่รู้ออฟฟิศโค้ด ถึงรู้ก็จำเบอร์ใครไม่ได้เพราะตั้งแต่มีโทรศัพท์มือถือหน่วยความจำในสมองส่วนสะสมเบอร์โทรศัพท์ที่เคยใช้สมัยก่อนก็ถูกล้างกลายเป็นห้องร้างว่างเปล่ารอคนมาเช่า ทำไงดี ตัดสินใจเดินทั่วตึกเผื่อจะเจอใครสักคน เดินสำรวจไปสองชั้นไม่มีแม้แต่แมลงวัน ใจเริ่มคิดว่าอาจต้องนอนนี่ซะแล้ว ก็พอดีลงไปข้างล่างเจอชายอินเดียใจดี ร่างใหญ่ ท่าแกจะชอบกลับบ้านเย็นๆเหมือนกัน เลยโชคดีได้อาศัยคีย์การ์ดแกออกจากที่ทำงาน นี่เป็นตัวอย่างว่าอย่ากลับบ้านเย็นถ้าไปทำงานที่นั่น ครั้งหนึ่งผมมีโอกาสถามเพื่อนร่วมงานชาวออสซี่คนหนึ่งชื่อ มานี (Manie) เธอเป็นผู้หญิงสวยสไตล์คนพื้นเมืองในความเห็นของผม ผิวสีแทน ผมบรอนซ์ดำ โครงหน้าแบบชาวอะบอริจิน ว่าเหตุใดคนออสซี่จึงกลับบ้านเร็ว มานีแกหัวเราะแล้วก็พาดพิงพไปถึงเพื่อนคนไทยอีกคนหนึ่งที่บอกว่าคนออสซี่ไม่ทำงานหนัก แล้วบอกว่า ที่คนที่นี่ทำอย่างนี้เพราะไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรมาทำงานหนักๆ เนื่องจากไม่รู้จะรีบเร่งไปทำไมนั่นแหละ งานมันก็ควรจะเสร็จในเวลางานที่แพลนไว้อยู่แล้ว โดยไม่ต้องหิ้วหอบงานไปทำที่บ้าน หรือเข้ามาทำงานวันเสาร์อาทิตย์ ที่เลิกงานเร็วก็จะได้กลับบ้านไปเล่นกับลูกๆ แล้วก็เข้านอนสักสามทุ่ม สวรรค์สำหรับผมจริงๆ แต่อย่าเข้าใจผิดว่านั่นคือการขี้เกียจเพราะมันไม่ใช่ ผมคิดว่านั่นเป็นเพราะเค้ามีแผนที่ดีมากกว่า มีแผนที่ดีที่คลอบคลุมทั้งเรื่องชีวิตการทำงาน และชีวิตส่วนตัว หากการจะทำอย่างนั้นได้มันทำคนเดียวไม่ได้ ต้องร่วมมือร่วมใจกันทำทั้งบริษัท ใหญ่หน่อยก็ทั้งรัฐ ใหญ่มาอีกก็ทั้งประเทศ สรุปว่าผมคิดว่าเราน่าจะมาร่วมมือร่วมใจกันทำงานให้น้อยลงแต่ได้ประสิทธิภาพเท่าเดิมหรือมากขึ้น จริงๆแล้วถึงจะได้ผลแห่งงานเท่าเดิมด้วยเวลาที่น้อยลงท่านก็ว่ามี efficiency ที่ดีแล้ว ลองช่วยกันคิดดูแล้วลองทำดูนะครับ ท่านจะเห็นว่า เราจะมีความสุขขึ้นมากเลย ที่สำคัญคือเราจะมีสุขภาพจิตที่ดี เมื่อไม่เครียด อารมณ์ก็จะแจ่มใส จะคิดจะทำอะไรก็จะกระจ่างแจ้งเป็น as clear as crystal ครับ

ป.ล. อย่าลืมไปลงประชามติ

Thursday, June 14, 2007

เขาคือใคร?

ในขณะที่ทุกฝ่ายกำลังจดจ้องกันตาไม่กระพริบถึงสถานการณ์บ้านเมืองที่กำลังระส่ำระสาย คนจำนวนมากอีกกลุ่มหนึ่งก็พยายามทำเงินให้ได้มากที่สุดกับภาวะจตุคามฟีเวอร์ที่กำลังเป็น Hot Topic ในเมืองไทย เขาเป็นใคร สำคัญอย่างไร ไปหาอ่านที่อื่นเอาเอง แต่สิ่งหนึ่งที่ค้านความรู้สึกผมเหลือเกินคือการที่คนอีกกลุ่มหนึ่งที่อุตส่าห์ระดมพระสงฆ์ทั้งจริงและไม่จริงออกมานั่งช้างม้าประท้วงปาวๆ ขึ้นกูขึ้นมึงว่าจะเอาพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติให้ได้ นอกจากจะระดมกำลังพลเพื่อแสดงพลัง (เดี๋ยวนี้ใครๆก็ชอบแสดงพลังกันเหลือเกิน) แล้ว ก็ยังมีการลงโฆษณาบนป้ายคัตเอาท์ขนาดใหญ่ประกาศความต้องการของกลุ่มอย่างชัดเจน คนกลุ่มนี้ผมไม่ทราบภูมิหลัง แต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาไม่เอาเวลาไปให้ความรู้กับผู้หลงไหลงมงายกับเทพต่างๆที่มีอยู่เต็มบ้านเต็มเมืองขณะนี้ เพราะพุทธศาสนานั้นไม่ได้บอกว่าต้องไปนับถือเทพ
ธรรมะคือความจริงแห่งธรรมชาติ จากที่ผมเคยได้ยินได้ฟังมาจากพระผู้ใหญ่ที่เป็นที่นับถือของสังคมไทยแล้ว แม้แต่เทพก็ยังอยู่ภายใต้ความจริงแห่งธรรมชาติ ดังนี้แล้วพระพุทธเจ้าท่านจึงสอนว่า "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" อย่ามัวหลงงมงายไปกับสิ่งที่สร้างขึ้นเองหรือคนอื่นสร้างมาก็ตามว่าศักดิ์สิทธิ์ แล้วก็เอาความหวังความฝันทั้งหมดไปวางไปบนเทพเหล่านั้นซึ่งก็ไม่มีใครรู้ว่ามีจริงหรือไม่ แล้วท่านเหล่านั้นใช้เกณฑ์อะไรมาเป็นตัวตัดสินว่าจะช่วยหรือไม่ช่วยใคร หากบรรดาเทพทั้งหลายมีความสุขกับการทำให้คนเลวแคล้วคลาดภัย ทำให้คนบางคนมีโชคเล็กน้อยกับหวยแต่ต้องติดงอมแงมเอาเงินที่ควรซื้อนมให้ลูกมาซื้อหวย มองยังไงผมก็ยังเห็นว่าเป็นเทพฝ่ายอธรรมซะมากกว่า พุทธศาสนาจะเป็นศาสนาประจำชาติหรือไม่คงไม่สำคัญเท่าความประพฤติของประชาชนในชาติที่จะใช้การกระทำเป็นสิ่งบอกเล่าความเชื่อแห่งตนมากกว่าที่จะใช้ตัวหนังสือหรือน้ำลายเป็นสื่อ เพราะตัวหนังสือก็จะจางหายไปด้วยกาลเวลาและตัวมอด น้ำลายเพียงข้ามวันก็คงจะละลาย แต่การกระทำคือสิ่งที่จะถูกบอกเล่าผ่านตัวหนังสือโดยมีน้ำลายต่อน้ำลายส่งผ่านไปไม่รู้จบ

ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน