Wednesday, March 14, 2007

จากวันวาน

กาลเวลาเดินทาง ชีวิตคนเดินทาง จากเคยอยู่ต้องจากไป จากเคยไปกลับเข้ามา จำลาจากด้วยอาลัยคนเก่า คนดี คนเก่ง แม้ชีวิตไม่ได้ให้รางวัลกับคนเก่งทุกคนในวันนี้ วันข้างหน้ายังมีอย่าท้อถอย พักได้แต่อย่าหยุด คนเราเกิดมามีชีวิตเป็นอนิจจัง หากยึดมั่นก็เสียใจ แต่ความเสียใจไม่ลาจากแม้ไม่ยึดมั่น...
เงาสะท้อนห้องริมทางเดินยังฉายใบหน้า ท่าทาง อากัปกิริยาเพื่อนๆ น้องๆ พี่ๆที่นั่งทำงาน วันพรุ่งหน้าตาเหล่านี้จะไปอยู่บนกระจกคนละบาน บ้านคนละหลัง ทางเดินคนละฝั่ง แต่ลมไม่ได้เพพัดใจเราไปไหน ยังอยู่ตรงนี้ ยังอยู่ที่นี่ อย่าโกรธเคืองกัน อย่าแค้นฝังใจ เพราะเราไ่ม่ใช่เขาและเขาไม่ใช่เรา ทางออกตรงกลางอาจไม่กลางในสายตาใครบางคน ให้มองที่ความพยายามแล้วจะชนะด้วยกันทุกฝ่าย วันหน้ายังมี เวลายังเหลือ อาจได้มาร่วมกันใหม่ เคยทำให้เคืองต้องขออภัย เคยแค้นเคืองใครอยากให้ยกโทษให้ จากไปวันนี้ขออวยชัยให้โชคดี

Labels:

Thursday, March 08, 2007

คุณหมอตัวสำรอง

เมื่อสองสามวันก่อนข้าพเจ้ามีอันต้องเดินทางเข้าเมืองเพื่อไปพบคุณหมอเจ้าของไข้
ที่ได้สู้อุตส่าห์เอาไข้ของตัวไปฝากไว้โดยหวังใจว่าจะช่วยแบ่งเบาออกไปได้บ้าง กาลกลับกลายเป็นว่าคุณหมอผู้รับฝากมีอันต้องจรลีไปเข้าร่วมการสัมนายังต่างจังหวัด
ทำให้ไม่สามารถอยู่จัดการกับบรรดาไข้ที่ได้รับฝากไว้จากคนไข้ทั้งหลายได้ เมื่อคุณหมอไม่อยู่ทางโรงพยาบาลก็จัดการประสานงานเพื่อให้คุณหมอท่านอื่น
มาทำหน้าที่นี้แทน
ข้าพเจ้ารวมทั้งคนไข้อื่นๆรอแล้วรอเล่าจนเวลาล่วงผ่านไปชั่วโมงเศษคุณหมอตัวสำรอง
จึงเดินทางมาถึง คุณหมอท่านนี้เมื่อมาถึงก็ได้เริ่มทำงานอย่างแข็งขัน สังเกตได้จากการตรวจที่รวดเร็วมากนับเวลาเฉลี่ยได้ไม่เกิน 10 นาทีต่อหนึ่งคน ต่อเมื่อถึงคิวของข้าพเจ้าจึงได้รู้ว่าเหตุใดคุณหมอจึงสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็ว คุณหมอเริ่มจากการถามอาการในขณะง่วนอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อเตรียมจ่ายยา แลเมื่อฟิล์มรายงานผลการสแกนอวัยวะชิ้นหนึงที่ข้าพเจ้าเสียเงินลงทุนไป 20000 บาทเดินทางมาถึง คุณหมอใช้เวลาเพียง 5 วินาทีในการเปิดดูฟิล์ม แล้วก็หันไปสั่งจ่ายยาตามปกติ สรุปว่าข้าพเจ้าได้รับยาไปทานเพิ่มอีกสองเดือนโดยไม่มีการบอกถึงอาการ, วิธีการดูแลตนเอง, ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากยา, และอื่นๆที่ข้าพเจ้าในฐานะคนไข้สมควรที่จะได้รับรู้ รวมถึงผลจากการลงทุนไป 20000 บาทของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามิได้อยากได้ยินผลร้ายเช่น สมองคุณมีเนื้องอก หรือ คุณปกติเพียงแต่เครียดไปหน่อย หรืออื่นๆ เพียงเพื่อจะได้รู้สึก
คุ้มค่ากับเงินลงทุนเสมือนการลงทุนกับกองทุนรวมสักแห่ง หากแต่เป็นเพราะท่าทีที่ไม่ใส่ใจกับคนไข้นั่นเองที่ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกถึงความ
ไม่สามารถเชื่อมั่นในคุณหมอตัวสำรองท่านนี้ได้
...
โดยจริยธรรมของหมอรวมถึงหลักจิตวิทยาในการดูแลผู้ป่วยแล้ว ถึงแม้ข้าพเจ้าจะไม่ได้ร่ำเรียนมาทางนี้ แต่ก็พอจะเดาได้ว่า น่าจะต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ป่วย ความเชื่อมั่นในที่นี้ไม่จำเป็นต้องจำกัดอยู่แต่ความเชื่อมั่นว่า "จะหาย" หากแต่รวมถึง "จงเชื่อหมอ" ด้วยเหตุนี้ก่อนที่คุณหมอจะไล่ข้าพเจ้าออกไปทางอ้อมเพราะมีคนไข้อื่นรออยู่ เพราะคุณหมอมาสาย เพราะคุณพยาบาลมายืนกดดันอยู่ คำถามมากมายจึงหลั่งไหลจากข้าพเจ้าแลภรรยาไปสู่คุณหมอตัวสำรอง คำถามที่ข้าพเจ้าเป็นคำถามพื้นฐานเช่น ข้าพเจ้าเป็นอะไร, ทำไมจึงเป็น, มีวิธีดูแลตัวเองอย่างไร, ยาที่ให้ทานมีผลข้างเคียงหรือไม่, และอื่นๆ ที่ข้าพเจ้าแลภรรยาพอจะนึกออกก่อนจะหมดโอกาสถามไถ่ หากแต่คำตอบที่ได้รับกลับเป็น "คุณอยากได้คำตอบแบบไหนเหรอ", "ยาทุกชนิดมีผลข้างเคียง", และอื่นๆในแนวทางเดียวกัน เมื่อคุณหมอตัวสำรองไม่สามารถทำให้ข้าพเจ้าเชื่อมั่นได้ ความไม่ประทับใจจึงตามมาอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง ข้าพเจ้าเดินหัวเราะออกไปจากห้องตรวจด้วยอาการที่บอกคุณหมอทางอ้อมว่า "ตลกว่ะ" ตลกที่คุณหมอเร่งทำเวลากับคนไข้เสมือนทำยอดขายตอนสิ้นปี ตลกที่คำตอบอันกำกวมไม่ได้ทำให้ข้าพเจ้าเชื่อมั่นได้ และอื่นๆ ในความคิดเห็นของข้าพเจ้า หน้าที่หลักของคุณหมอคือ การวินิจฉัยโรค แล้วจึงรักษาด้วยเทคโนโลยีหรือยารักษาโรคที่เหมาะสม แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการไม่ทำให้คนไข้รู้สึกสะดุดกับการตรวจวินิจฉัยของตน มิเช่นนั้นแล้วการรักษาก็ถือว่าล้มเหลว เมื่อคนไข้ไม่เชื่อ การดื้อแพ่งก็ตามมา
...
หากจะกล่าวอ้างว่า คุณหมอก็เป็นคนที่มีบ้างกับกิริยาอาการไม่เหมาะสมจากการเหน็ดเหนื่อยเกินไป จากความเครียดอันเกิดจากปัญหาที่บ้าน หรืออื่นๆ การกล่าวอ้างดังกล่าวฟังไม่ขึ้นด้วยประการทั้งปวง เพราะถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าคิดว่าคุณหมอก็ควรจะผันตัวเองไปทำอาชีพอื่นเสีย อาชีพที่ไม่กระทบกับคนอื่นๆ โดยเฉพาะเรื่องของความเป็นความตาย แต่หากยังยืนยันที่จะดำรงอาชีพของตนไว้ต่อไปก็อยากฝากไปถึงคุณหมอๆ
ทั้งหลายว่า สิ่งที่ชาวบ้านตาำดำๆเสียให้ท่าน 200-400 บาทนั้นมันมิใช่แค่เพียงให้ท่านมาสอบถามอาการจากเขา
หากมันคือความสามารถในการวินิจฉัยไม่ว่าเบื้องต้นหรือเบื้องลึก
ความรอบคอบในการใช้คำพูดและอื่นๆอีกมากที่ข้าพเจ้าเชื่อว่าคุณหมอทั้งหลายคงจะ
ได้ร่ำเรียนมาบ้างไม่มากก็น้อย ในฐานะคนไข้คนหนึ่งข้าพเจ้า
จึงอยากฝากสิ่งที่ไม่ใช่ไข้ไปยังคุณหมอทั้งตัวจริงแลตัวสำรองว่า
วิชาความรู้นั้นสำคัญ หากแต่ไร้ซึ่งประสิทธิภาพในการสื่อสารแลจะหาประโยชน์อันใดได้?

Labels: