Thursday, June 14, 2007

เขาคือใคร?

ในขณะที่ทุกฝ่ายกำลังจดจ้องกันตาไม่กระพริบถึงสถานการณ์บ้านเมืองที่กำลังระส่ำระสาย คนจำนวนมากอีกกลุ่มหนึ่งก็พยายามทำเงินให้ได้มากที่สุดกับภาวะจตุคามฟีเวอร์ที่กำลังเป็น Hot Topic ในเมืองไทย เขาเป็นใคร สำคัญอย่างไร ไปหาอ่านที่อื่นเอาเอง แต่สิ่งหนึ่งที่ค้านความรู้สึกผมเหลือเกินคือการที่คนอีกกลุ่มหนึ่งที่อุตส่าห์ระดมพระสงฆ์ทั้งจริงและไม่จริงออกมานั่งช้างม้าประท้วงปาวๆ ขึ้นกูขึ้นมึงว่าจะเอาพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติให้ได้ นอกจากจะระดมกำลังพลเพื่อแสดงพลัง (เดี๋ยวนี้ใครๆก็ชอบแสดงพลังกันเหลือเกิน) แล้ว ก็ยังมีการลงโฆษณาบนป้ายคัตเอาท์ขนาดใหญ่ประกาศความต้องการของกลุ่มอย่างชัดเจน คนกลุ่มนี้ผมไม่ทราบภูมิหลัง แต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาไม่เอาเวลาไปให้ความรู้กับผู้หลงไหลงมงายกับเทพต่างๆที่มีอยู่เต็มบ้านเต็มเมืองขณะนี้ เพราะพุทธศาสนานั้นไม่ได้บอกว่าต้องไปนับถือเทพ
ธรรมะคือความจริงแห่งธรรมชาติ จากที่ผมเคยได้ยินได้ฟังมาจากพระผู้ใหญ่ที่เป็นที่นับถือของสังคมไทยแล้ว แม้แต่เทพก็ยังอยู่ภายใต้ความจริงแห่งธรรมชาติ ดังนี้แล้วพระพุทธเจ้าท่านจึงสอนว่า "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" อย่ามัวหลงงมงายไปกับสิ่งที่สร้างขึ้นเองหรือคนอื่นสร้างมาก็ตามว่าศักดิ์สิทธิ์ แล้วก็เอาความหวังความฝันทั้งหมดไปวางไปบนเทพเหล่านั้นซึ่งก็ไม่มีใครรู้ว่ามีจริงหรือไม่ แล้วท่านเหล่านั้นใช้เกณฑ์อะไรมาเป็นตัวตัดสินว่าจะช่วยหรือไม่ช่วยใคร หากบรรดาเทพทั้งหลายมีความสุขกับการทำให้คนเลวแคล้วคลาดภัย ทำให้คนบางคนมีโชคเล็กน้อยกับหวยแต่ต้องติดงอมแงมเอาเงินที่ควรซื้อนมให้ลูกมาซื้อหวย มองยังไงผมก็ยังเห็นว่าเป็นเทพฝ่ายอธรรมซะมากกว่า พุทธศาสนาจะเป็นศาสนาประจำชาติหรือไม่คงไม่สำคัญเท่าความประพฤติของประชาชนในชาติที่จะใช้การกระทำเป็นสิ่งบอกเล่าความเชื่อแห่งตนมากกว่าที่จะใช้ตัวหนังสือหรือน้ำลายเป็นสื่อ เพราะตัวหนังสือก็จะจางหายไปด้วยกาลเวลาและตัวมอด น้ำลายเพียงข้ามวันก็คงจะละลาย แต่การกระทำคือสิ่งที่จะถูกบอกเล่าผ่านตัวหนังสือโดยมีน้ำลายต่อน้ำลายส่งผ่านไปไม่รู้จบ

ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน

Thursday, June 07, 2007

8

วันที่ 15 เดือนมีนาคม 2550 เสียงกังวานจากประธานบริษัทกล้วยก้องไปทั่วอาณาบริเวณบริษัท ใจความว่า "สืบเนื่องจากทางบริษัทได้ดำเนินกิจการมาเป็นเวลาห้าปีแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมาได้ทำคุณงามความดีให้กับพนักงานด้วยการมอบหมายงานให้ทำ ทั้งยังมีเงินเดือนยังชีพให้อีก ด้วยความตั้งใจจริงที่จะมุ่งส่งเสริมความเป็นอยู่ของพนักงานให้ดีขึ้นโดยไม่มุ่งหวังสิ่งตอบแทน แต่การณ์กลับกลายเป็นว่า บรรดาลิง ช้าง ม้า รวมถึงสัตว์อื่นๆในโรงละครสัตว์สิบสามแห่งได้พากันเมินกล้วยจากบริษัทเรา ทางบริษัทจึงมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนจากการผลิตกล้วยเป็นการขายกล้วยแทน ใบลาออกวางอยู่ที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ขอขอบคุณและแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งมา ณ ที่นี้" นายจำปี ขาแขว่ง เดินแกว่งขาเข้าไปที่พนักงานสาวหน้าตาสะสวยซึ่งยังคงยิ้มอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้เธอจะเป็นหนึ่งในผู้เซ็นใบลาออกคนแรกๆ แต่เธอก็ยังยิ้ม ปากกาจับมั่นในมือพร้อมเซ็น กางขาออกสองขาเพื่อให้ถนัด แต่เมื่อโน้มตัวลง เสียงสะกิดใจของสาวโอเปอร์กระซิบบอกนายจำปี ขาแกว่ง ว่า ท่านกล้วย มีดำริว่า คุณจำปี ขาแกว่ง ไม่ต้องเซ็นค่ะ มึนงงปนดีใจ นายจำปี ขาแขว่ง ขยับถอยหลังสองก้าว หุบขาเข้าที่ด้วยความมึนงง ปล่อยให้คนอื่นๆในคิวลงชื่อไปทีละคน...ทีละคน
เวลาผ่านไปหนึ่งเดือน กล้วยที่นายจำปี ขาแกว่ง ได้รับมอบหมายให้ทำการตลาด ยังคงขายไม่ออก ด้วยว่าเป็นพันธุ์ใหม่ ข้างนอกเป็นกล้วย ข้างในเป็นไส้ทุเรียน "เหม็นบรรลัย" ยายตรม ผู้ที่ประสบการ์ณห้าปีเต็มนับแต่วันก่อตั้งบริษัทผรุสวาทออกมา "แต่ก็แปลกดี" นายเต็มเสริมพร้อมรอยยิ้มมุมปาก
ทุกบ้านในตำบลที่บริษัทกล้วยตั้งอยู่ได้รับการเยี่ยมเยียนจากนายจำปี ขาแกว่งอย่างน้อยสองครั้ง พักหลังๆนายจำปี ขาแกว่ง ต้องเอากล้วยพันธุ์ใหม่ห่ออย่างดีด้วยการช่วยเหลือของภรรยาเพื่อไม่ให้กลิ่นส่งไปล่วงหน้า อันมักจะเป็นสาเหตุแห่งการปิดประตูไม่ต้อนรับเขาเข้าบ้านอยู่เสมอ
สามเดือนผ่านไป ด้วยความสุดจะทนกับความไม่สันทัดกรณีขายกล้วยของตน นายจำปี ขาแกว่งตัดสินใจขั้นเด็ดขาด ยื่นใบลาออก
เมื่อยายตรม กับนายเต็ม ได้รับทราบข่าวการลาออกของนาย จำปี ขาแกว่ง ทั้งสองรีบรุดไปเยี่ยมนายจำปี ขาแกว่งที่บ้านทันที ที่นั่นพวกเขาพบนายจำปี ขาแกว่ง นั่งแกว่งขาอยู่กับแคร่ใต้ต้นหูกวางใหญ่ ตาเหม่อจ้องมองไปบนฟ้าที่ซึ่งนกกระจิบฝูงหนึ่งบินไล่ลมกันอยู่ ยายตรมเปิดฉากทำลายบรรยากาศอันเปลี่ยนเหงาของนายจำปี ขาแกว่งด้วยการนั่งลงข้างๆพร้อมถอนหายใจหนึ่งเฮือก "ข้ารู้แล้วว่ามันต้องออกมาอีหรอบนี้", "เอ็งน่าจะออกมาด้วยกันแต่ทีแรก" นายเต็มเสริมพร้อมรอยยิ้มมุมปาก, "..." ไม่มีสัญญาณตอบรับจากนายจำปี ขาแกว่งที่บัดนี้หยุดแกว่งขาเพราะเมื่อหันไปทางยายตรม ถุงกระดาษสีน้ำตาลสะดุดตาเขาด้วยความคุ้นเคย "ถุงอะไรยาย", "อ้อ อันนี้ข้าเอามาฝากเอ็ง เห็นว่าช่วงนี้ว่างงาน ถ้าหิวจะได้มีกิน", "ยายเค้าได้งานแล้ว" นายเต็มเสริมพร้อมรอยยิ้มมุมปาก "ทุกคนก็ได้งานใหม่กันแล้วทั้งนั้นแหละ เอ้ากินซะก่อน" นายจำปี ขาแกว่งรับบางสิ่งจากมือยายตรม เมื่อมองดูจึงเห็นว่ามันคือกล้วยสุกกำลังดี ปอกเรียบร้อยจากมือยายตรมด้วยท่าทางมึนงงปนสงสัย เขาหักมันออกเป็นสองท่อนก่อนจะพบว่าข้างในกล้วยเป็น "มังคุด"
...
นกกระจิบอีกฝูงหนึ่ง หรืออาจเป็นฝูงเดิม บินไล่ลมกันอยู่ ชั่วขณะหนึ่งนายจำปี ขาแกว่ง คิดว่าเขาเห็นมันบินด้วยรูปแบบเดิม วนจากล่างขึ้นบนไปทางซ้าย ก่อนย้อนลงมาเพื่อจบรอบเป็นเลขแปด ทำอย่างนี้ไม่รู้จบ.

Labels: