Friday, August 17, 2007

Time is on my side. Yes, it is.

ผมได้วางแผนเอาไว้ก่อนที่จะกลับเมืองไทยว่าเมื่อกลับมาก็จะยังคงเขียนเว็บล็อกไปเรื่อยๆ มั่นใจว่าจะมีเรื่องให้เขียนเรื่อยๆ พร้อมกับได้มีโอกาสถ่ายรูปเรื่อยๆเช่นกัน การณ์กลับไม่เป็นดังคาด ทันทีที่กลับมาผมก็พลันตื่นตกใจกับสภาพรถติดอันสุดจะทน (ไม่ได้ดัดจริต แต่รู้สึกเช่นนั้นจริงๆ) ระยะเวลาการเดินทางโดยรถยนต์จากบ้านไปยังสถานีรถไฟฟ้าโดยเฉลี่ย 15 กิโลเมตร คือ 1 ชั่วโมง! เป็น 1 ชั่วโมงที่ผมสุดแสนจะเสียดายทั้งน้ำมัน ทั้งเวลา ขากลับจากที่ทำงานยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ จาก 1 ชั่วโมงเป็น 1 ชั่วโมงครึ่ง วันเวลาผ่านไป 1 ปี กลับไปสำรวจเว็บล็อกอีกครั้งพบว่าตั้งแต่กลับมาเขียนไปแค่ 4 เรื่อง แถมเป็นสี่เรื่องที่ไม่ได้ชวนอ่านเอาซะเลย
ทำไมน่ะหรือ? ผมนั่งใคร่ครวญอยู่พักหนึ่งในวันหยุดยาว ว่าเพราะเหตุใดเราจึงไม่มีเวลาเหมือนเมื่อตอนอยู่ต่างประเทศ เป็นไปได้ว่า สภาพการจราจร ที่ติดขัด การคมนาคมสาธารณะไม่ทั่วถึงคลอบคลุมทั่วกรุงเทพฯ รวมไปถึงวัฒนธรรมการทำงานบ้านเราที่ไม่ใช่ nine to five. พูดถึงเรื่อง nine to five นี้ถ้าคุณทำงานโดยยึดคติอย่างว่า อาจถูกมองด้วยสายตาหมั่นไส้ระคนริษยา หมั่นไส้ในความไม่ยี่หระต่อสายตาเพื่อนร่วมงาน หรือ เจ้านาย ริษยาในความอาจหาญที่กลับบ้านตรงเวลา แต่สิ่งที่คุณจะได้รับ ซึ่งผมสนับสนุนให้ทุกคนทำคือ เวลา สิ่งมีค่าอันยิ่งใหญ่ เวลาที่คุณอาจใช้ไปในการนั่งคุยกับคนที่คุณรัก เวลาที่อาจหมดไปกับการอ่านหนังสือดีๆสักเล่ม เวลาที่จะดูแลทำความสะอาดบ้าน เวลาที่จะได้ทานข้าวตรงเวลา เวลาที่จะได้ออกกำลังกาย ฯลฯ แต่ในบางครั้งก็ต้องยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวใช่ว่าอยู่ดีๆจะทำก็ทำได้โดยไม่ดูตาม้าตาเรือ เนื่องเพราะผมโดนมาแล้ว กลับบ้านหกโมงถูกเจ้านายส่ง message มาต่อว่าที่กลับบ้าน too early.
ผมชอบบรรยากาศการทำงานที่ออสเตรเลีย พูดอย่างนี้อาจเป็นการเหมารวมทั้งประเทศ เอาเป็นว่าที่รัฐ Brisbane ซึ่งเป็นเมืองพักตากอากาศอันเงียบสงบแห่งหนึ่งที่หลายคนบอกว่า ไม่วุ่นวายเท่า Sydney แต่เพื่อนผมก็กระซิบบอกว่า Sydney ก็ออกจะเงียบสงบเมื่อเทียบกับกรุงเทพฯ บ้านเรา อย่างไรก็แล้วแต่ บรรยากาศการทำงานที่ผมได้พบเจอมาคือ คนออสซี่ที่นั่น ตื่นแต่เช้าตรู่ มาทำงานไม่เกิน 8 โมงเช้า และกลับบ้าน 5 โมงเย็น sharp น่าสนใจมั๊ยล่ะครับ มีอยู่วันหนึ่งผมไม่รู้จะรีบกลับไปยังอพาร์ทเมนท์อันเงียบเหงาทำไมในเมื่ออยู่ที่ออฟฟิศก็เงียบเหมือนกัน และพอดีช่วงนั้นอินเทอร์เน็ตเครดิตหมดพอดี เลยนั่งเล่นอินเทอร์เน็ตคุยกับแฟนเรื่อยๆ พอหกโมงครึ่งว่าจะกลับบ้านถึงได้รู้ว่าลืมเอาคีย์การ์ดเข้าออกประตูมา โทรศัพท์มือถือก็ไม่มี โทรศัพท์ออฟฟิศก็ไม่รู้ออฟฟิศโค้ด ถึงรู้ก็จำเบอร์ใครไม่ได้เพราะตั้งแต่มีโทรศัพท์มือถือหน่วยความจำในสมองส่วนสะสมเบอร์โทรศัพท์ที่เคยใช้สมัยก่อนก็ถูกล้างกลายเป็นห้องร้างว่างเปล่ารอคนมาเช่า ทำไงดี ตัดสินใจเดินทั่วตึกเผื่อจะเจอใครสักคน เดินสำรวจไปสองชั้นไม่มีแม้แต่แมลงวัน ใจเริ่มคิดว่าอาจต้องนอนนี่ซะแล้ว ก็พอดีลงไปข้างล่างเจอชายอินเดียใจดี ร่างใหญ่ ท่าแกจะชอบกลับบ้านเย็นๆเหมือนกัน เลยโชคดีได้อาศัยคีย์การ์ดแกออกจากที่ทำงาน นี่เป็นตัวอย่างว่าอย่ากลับบ้านเย็นถ้าไปทำงานที่นั่น ครั้งหนึ่งผมมีโอกาสถามเพื่อนร่วมงานชาวออสซี่คนหนึ่งชื่อ มานี (Manie) เธอเป็นผู้หญิงสวยสไตล์คนพื้นเมืองในความเห็นของผม ผิวสีแทน ผมบรอนซ์ดำ โครงหน้าแบบชาวอะบอริจิน ว่าเหตุใดคนออสซี่จึงกลับบ้านเร็ว มานีแกหัวเราะแล้วก็พาดพิงพไปถึงเพื่อนคนไทยอีกคนหนึ่งที่บอกว่าคนออสซี่ไม่ทำงานหนัก แล้วบอกว่า ที่คนที่นี่ทำอย่างนี้เพราะไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรมาทำงานหนักๆ เนื่องจากไม่รู้จะรีบเร่งไปทำไมนั่นแหละ งานมันก็ควรจะเสร็จในเวลางานที่แพลนไว้อยู่แล้ว โดยไม่ต้องหิ้วหอบงานไปทำที่บ้าน หรือเข้ามาทำงานวันเสาร์อาทิตย์ ที่เลิกงานเร็วก็จะได้กลับบ้านไปเล่นกับลูกๆ แล้วก็เข้านอนสักสามทุ่ม สวรรค์สำหรับผมจริงๆ แต่อย่าเข้าใจผิดว่านั่นคือการขี้เกียจเพราะมันไม่ใช่ ผมคิดว่านั่นเป็นเพราะเค้ามีแผนที่ดีมากกว่า มีแผนที่ดีที่คลอบคลุมทั้งเรื่องชีวิตการทำงาน และชีวิตส่วนตัว หากการจะทำอย่างนั้นได้มันทำคนเดียวไม่ได้ ต้องร่วมมือร่วมใจกันทำทั้งบริษัท ใหญ่หน่อยก็ทั้งรัฐ ใหญ่มาอีกก็ทั้งประเทศ สรุปว่าผมคิดว่าเราน่าจะมาร่วมมือร่วมใจกันทำงานให้น้อยลงแต่ได้ประสิทธิภาพเท่าเดิมหรือมากขึ้น จริงๆแล้วถึงจะได้ผลแห่งงานเท่าเดิมด้วยเวลาที่น้อยลงท่านก็ว่ามี efficiency ที่ดีแล้ว ลองช่วยกันคิดดูแล้วลองทำดูนะครับ ท่านจะเห็นว่า เราจะมีความสุขขึ้นมากเลย ที่สำคัญคือเราจะมีสุขภาพจิตที่ดี เมื่อไม่เครียด อารมณ์ก็จะแจ่มใส จะคิดจะทำอะไรก็จะกระจ่างแจ้งเป็น as clear as crystal ครับ

ป.ล. อย่าลืมไปลงประชามติ

1 Comments:

Anonymous Anonymous said...

I totally agree.Anyway, Happy Birth Day to you and wish you luck :)

8:14 PM  

Post a Comment

<< Home